Skip to main content

การสังหารหมู่ที่หมีลาย “ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่หมีลาย" ทหารสหรัฐคนนึงกล่าว

การสังหารหมู่ที่หมีลาย



คุณอาจจะสงสัยว่า ทำไมเหล่าทหารหนุ่มที่อายุอานามไม่เกิน 25 ปีกลุ่มนี้ถึงได้มีจิตใจที่อำมหิตเหลือเกิน เหตุผลง่ายๆคือ สงครามทำให้พวกเขาเปลี่ยนไป ความกดดันทำให้พวกเขาไม่วางใจในสิ่งใดทั้งสิ้น อันที่จริงแล้ว C Company เพิ่งจะมาถึงเวียดนามได้แค่ 3 เดือนก่อนเกิดเหตุการณ์อันน่าเศร้านี้... 3 เดือนเท่านั้นที่เหล่าทหารอายุน้อยจาก C Company ต้องเผชิญกับการประจันหน้ากับทหารเวียตกงถึง 28 ครั้งซึ่งทำให้สูญเสียเพื่อนทหารไป 5 คน และก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่หมีลายเพียง 2 วัน พวกเขาก็เพิ่งจะเจอกับการโจมตีครั้งใหญ่ที่เต็มไปด้วยกับระเบิดซึ่งคร่าชีวิตเพื่อนทหารไปอีกหนึ่งคน และทำให้อีกสองสามคนบาดเจ็บสาหัส ทั้งหมดนี้เป็นความกดดันที่หนักหนาในช่วงเวลาสั้นๆที่สามารถเปลี่ยนวิธีและกระบวนการทางความคิดของเหล่าพลทหารหลายๆคนไปได้
ข้อโต้แย้งที่ทำให้ทหารหลายนายหลุดพ้นจากข้อกล่าวหานั้นคือการในชั้นศาลว่า การกระทำเหล่านั้นเกิดขึ้นจากการปฎิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมาเท่านั้น ซึ่งพวกเขาถูกเทรนมาให้เชื่อฟังและทำตามอยู่แล้ว (มีหลายเหตุผลในการเชื่อฟังคำสั่ง เช่น นอกจากจะทำให้กองกำลังเป็นระเบียบแล้ว คำสั่งเหล่านั้นยังหมายถึงความปลอดภัยของตัวทหารเองด้วย) ทำให้ทางกองทัพจำเป็นต้องคิดทบทวนกระบวนการการฝึกทหารที่แม้ว่าภายใต้สถาณการณ์กดดันเพียงใด ทหารทุกคนไม่ควรลืมใช้เหตุผลและจริยธรรมในการประเมินเหตุการณ์และคำสั่ง มิใช่เพียงแต่ทำตามสิ่งที่ถูกบอกให้ทำ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ถูกต้องเลยก็ตาม
ภายหลังผลพวงของการเชื่อฟังคำสั่งที่ไร้ซึ่งมนุษยธรรมของเหล่าทหารจาก C Company เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างชั้นเยี่ยมในการศึกษาทฤษฎีของ Stanley Milgram ในเรื่องของ Blind Obedience (ทางผู้เขียนจะนำมาเรียบเรียงให้อ่านพร้อมเปรียบเทียบว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไรในหมีลายในตอนต่อๆไป)
สำหรับผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ที่หมีลาย มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เล่าถึงทุกคนที่รอดชีวิต ทั้งนี้ Michael Bilton และ Kevin Sim ผู้เขียน Four Hours in My Lai ได้สัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตบางส่วนซึ่งปรากฎอยู่ในหนังสือของเขา เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเช้าของวันนั้น วันที่ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปชนิดที่ไม่สามารถแก้ไขหรือเยียวยาให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีกเลย ทางผู้เขียนขอยก 2 เรื่องราวจากทั้งหมดมาให้ได้อ่านกันนะคะ
1.) Truong Thi Le
ในวัย 30 ปี ณ ตอนนั้น สูญเสียญาติสนิทไปทั้งสิ้น 9 คน ซึ่งรวมถึงสามี แม่ พี่น้อง 3 คน และลูกสาว ในเช้าวันนั้นเธอพยายามซ่อนตัวอยู่กับลูก 2 คนในบ้าน แต่ก็ถูกทหารอเมริกันลากออกมา ในตอนนั้นเองที่เธอถูกแยกจากลูกคนอื่นๆของเธอ
Le กับลูกชายวัย 6 ขวบถูกล้อมและยิง ระหว่างที่ถูกยิงนั้นเธอได้พยายามปกป้องลูกของตัวเองเพื่อไม่ให้ทหารได้ยินเสียงร้องหากเขาจะยังรอดชีวิต ขณะนั้นเองที่มีเหยื่อสองรายล้มลงบนตัวของเธอและเป็นเสมือนเกราะป้องกัน เมื่อการยิงสิ้นสุดลง Le แอบมองทหารและยังเห็นว่าพวกเขายังอยู่พร้อมกับเดินสำรวจไปมา และยิงซ้ำหากคนไหนยังมีชีวิตอยู่ก่อนจะจากไป เมื่อ Le แน่ใจว่าไม่มีทหารอยู่แล้ว เธอจึงลุกขึ้นและพบกับภาพที่จะติดตาเธอไปตลอดชีวิต... ภาพผู้หญิงและเด็กนอนตายกันเกลื่อนรอบๆเธอและตลอดทางที่เธอเดินไป พี่น้องของเธอถูกระเบิดคร่าชีวิต แต่สิ่งที่จะฝังใจเธอที่สุดคือ ภาพของลูกสาวของเธอที่กำลังกอดผู้เป็นยายซึ่งได้ตายไปแล้วอยู่ ก่อนที่ลูกสาวของเธอจะสิ้นลม เธอได้พูดกับ Le ว่า ยังไงเสียเธอคงต้องตาย และขอให้เธอพาน้องชายหนีไปให้ไกล เพราะยังไงทหารพวกนั้นก็คงจะกลับมาอีก หลังจากที่ไปซ่อนตัวอยู่พักใหญ่และกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง เธอพบว่า เธอเสียครอบครัวของเธอไปทั้งหมดรวมถึงบ้านซึ่งถูกเผาทิ้ง
2.) Pham Thi Thuam
แม่ม้ายวัย 30 มีลูกสาวหนึ่งคนได้เสียสมาชิกในครอบครัวไป 6 คน เธอและลูกสาวเป็นหนึ่งในกลุ่มชาวบ้านที่ถูกยิงในคูน้ำ โดยที่เธอรอดมาได้จากการหลบห่ากระสุนภายใต้ศพของเพื่อนบ้านคนอื่น เธอเอามือปิดปากลูกไว้เพื่อนไม่ให้ร้องและแสร้งทำเป็นแกล้งตาย เธอเล่าว่า หลังจากยิงเสร็จนั้น พวกทหารไม่ได้จากไปในทันที แต่อยู่รอเพื่อที่จะรอดูว่ามีผู้รอดชีวิตหรือไม่ หลังจากการรอคอยอันยาวนานสำหรับเธอ พวกทหารก็เดินออกไป เธอรอจังหวะสักพักก่อนจะรีบวิ่งผ่านทุ่งนาไปสุดชีวิตพร้อมกับลูกสาวของเธอและชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง ทว่าทหารก็เห็นและยิงเข้าใส่พวกเขา ผู้หญิงที่วิ่งตามหลังเธอมาล้มลง แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่เธอจะสามารถหยุดช่วยใครได้ เธอวิ่งไปเรื่อยๆจนไปถึงอีกหมู่บ้านหนึ่ง และพบว่าตัวของเธอนั้นเต็มไปด้วยเลือด เศษเนื้อ เศษสมอง และอื่นๆของศพคนอื่นทั่วร่างกาย ชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นที่ไม่ได้ถูกรุกรานได้ช่วยเธอและลูกเอาไว้
หลังจากเหตุการณ์อันน่าสยดสยองนี้ได้จบลง ผู้ที่รอดชีวิตจากการสังหารหมู่ครั้งนี้ก็อยู่กันอย่างกระจัดกระจายไปทั่ว บางคนทำใจไม่ได้ที่จะอยู่ที่เดิม หลายๆคนสูญเสียหมดทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงทุกคนในครอบครัว
สำหรับ Hugh Thompson แล้ว ชีวิตหลังการสังหารหมู่ไม่ได้ง่ายนักและในตอนแรกเขาไม่ได้ถูกยกให้เป็นฮีโร่ของเหตุการณ์นี้ แต่กลับถูกปรามาสว่าเขาทรยศต่อกองทัพสหรัฐฯเสียด้วยซ้ำ หลังจากที่นายทหารระดับสูงหลายคนสามารถปกปิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมีลายได้ เขาได้รับเข็มเชิดชูเกียรติสำหรับการปฎิบัติหน้าที่ในหมีลาย ซึ่งสาเหตุที่ได้เข็มเชิดชูนี้ถูกระบุว่า Thompson ได้ช่วยเหลือเด็กเวียดนามคนหนึ่งที่เผอิญเข้าไปอยู่ในการปะทะอันดุเดือดระหว่างทหารเวียตกงกับกองกำลังของสหรัฐฯซึ่งส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์อันดีขึ้นระหว่างสหรัฐฯและเวียดนามในพื้นที่นั้น ซึ่ง Thompson ไม่ขอรับคำเชิดชูนั้นทันที ต่อมาในช่วงการไต่สวนของศาล มีผู้บังคับบัญชาระดับสูงคนหนึ่งถึงกับพูดว่า ความจริงแล้วควรจะเป็น Thompson ต่างหากที่ต้องถูกจับ โทษฐานที่ต่อต้านการปฎิบัติหน้าที่และมีความตั้งใจที่จะสู้กับทหารอเมริกันด้วยกันเอง เมื่อเรื่องเล่าถึงการกระทำของเขาที่หมีลายถูกเปิดเผยต่อสาธารณะชน Thompson เริ่มได้รับจดหมายหมิ่นและขู่ฆ่าต่างๆนานา รวมถึงซากสัตว์ที่ถูกฆ่ามาโยนไว้หน้าบ้านของเขาเอง
กว่าที่การกระทำของ Thompson จะเป็นที่ยอมรับก็ปาไปกว่า 30 ปี ในปี 1998 ซึ่งในที่สุดอดีตทหารสามคนจากเหตุการณ์ในวันนั้น (Thompson, Lawrence Colburn และ Glenn Anndreotta ซึ่งเสียชีวิตระหว่างสงครามไปเสียก่อน) ก็ได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติระดับสูงสุด เพื่อแสดงความเคารพต่อความกล้าหาญของพวกเขาในวันนั้น
ในปี 1978 อนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงเหยื่อในเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่หมีลายได้ถูกสร้างขึ้นและถูกเรียกว่า The Son My Memorial ที่เรียกเช่นนี้ก็เพราะว่าที่จริงแล้ว หมีลายไม่ใช่หมู่บ้านเดียวที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นั้น ซึ่งทางสื่อของประเทศเวียดนามจะเรียกเหตุการณ์การสังหารหมู่นี้ว่า Son My massacre
วันที่ 16 มีนาคม 1998 ชาวบ้านทั้งจากหมีลายและหมู่บ้านใกล้เคียงรวมถึงเหล่าอดีตทหารทั้งจากสหรัฐฯและเวียดนามได้มารวมตัวกันอีกครั้งที่หมู่บ้านหมีลายเพื่อทำงานรำลึก 30 ปีการสังหารหมู่ที่หมีลาย หนึ่งในนั้นคือ Thompson และ Lawrence Colburn อดีตทหารสหรัฐฯผู้ที่ได้ให้ความช่วยเหลือชาวบ้านในวันนั้นก็ได้เข้าร่วมงานรำลึกนี้ด้วยเช่นกัน เขาสองคน ถือได้ว่าเป็นฮีโร่ของชาวบ้านหมีลาย หนึ่งในชาวบ้านที่เขาได้ช่วยชีวิตในวันนั้นคือ Phan Thi Nhanh ซึ่งมีอายุ 14 ปีในตอนนั้นยังคงจำได้ดีว่าความกล้าหาญที่ Thompson ทำเพื่อช่วยเหลือพวกเธอนั้นมีความหมายมากเพียงใด เธอได้กล่าวในงานนั้นว่า “พวกเราไม่ได้ลืม เราเพียงแค่พยายามไม่นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่ลึกๆในใจของพวกเรา เรื่องราวทั้งหมดไม่สามารถถูกลบออกไปได้อย่างแน่นอน” ในขณะเดียวกัน Colburn ได้พูดถึง Calley ไว้ว่า “คุณควรจะมาพบพวกผู้หญิงที่รอดจากเหตุการณ์วันนั้น มามองหน้าพวกเธอ มองเข้าไปในดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตาของพวกเธอ และบอกพวกเธอว่าทำไมถึงเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นได้” ทว่าในงานวันนั้น ไม่มีทูตหรือตัวแทนเจ้าหน้าที่ในกองทัพของสหรัฐฯมาร่วมงานแต่อย่างใด
ต่อมาในปี 2008 รำลึกครบรอบ 40 ปีของการสังการหมู่ที่หมีลาย คนร่วมงานได้มากันอย่างพร้อมเพรียงกว่าพันคน และทางสหรัฐฯได้ส่งตัวแทนเป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่อาสาจาก Wisconsin ชื่อ Madison Quakers มาร่วมงานอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้ได้สร้างโรงเรียนจำนวน 3 โรงและปลูกต้นไม้ใน Peace Garden ในหมู่บ้านหมีลายในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ครั้งนี้ Thompson วีรบุรษของชาวหมีลายไม่สามารถมาร่วมงานได้อีกแล้ว เพราะเขาได้เสียชีวิตไปเสียก่อนจากโรคมะเร็งในปี 2006
ในที่สุดกว่า 40 ปีที่อดีตร้อยตรี Calley ไม่เคยพูดหรือยอมให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันนั้นเลยสักครั้ง ในปี 2009 เขาได้พูดถึงเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่หมีลายที่ Kiwanis Club of Greater Columbus Georgia ว่า
“ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่หมีลาย... ผมเสียใจต่อบรรดาชาวบ้านที่ถูกฆ่า เสียใจต่อครอบครัวของพวกเขา และบรรดาทหารอเมริกันที่มีส่วนเกี่ยวข้องรวมถึงครอบครัวของพวกเขา... ผมขอโทษ”
สำหรับอดีตทหารคนอื่นๆที่มีส่วนร่วมในการสังหารหมู่ครั้งนั้น ทุกคนต่างมีบาดแผลในใจติดตัวไปตลอดชีวิต หนึ่งในนั้นคือพลทหาร Vernado Simpson ผู้ซึ่งยอมรับว่าได้ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าตามคำสั่งที่ได้รับ แม้แต่หมากับแมวในหมู่บ้าน เขารู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำลงไป บันทึกทุกอย่างไว้ในไดอารี่ของเขา (บางส่วนสามารถหาอ่านได้จากหนังสือ Four Hours in My Lai) ในที่สุด เขาก็ได้ฆ่าตัวตายในปี 1997 สาเหตุเกิดจากความซึมเศร้าและความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงต่อสิ่งที่เขาได้ทำลงไปเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ปี 1968
Cr. wikipedia // ผู้จัดการออนไลน์

Comments

Popular posts from this blog

นักข่าวฝรั่งเศสถูกตำรวจเวียดนามใต้ (วิสามัญ) ฆาตกรรม 15 มี.ค. 2518

นักข่าวฝรั่งเศสถูกตำรวจเวียดนามใต้ (วิสามัญ) ฆาตกรรม 15 มี.ค. 2518 คำสั่งถอนทหารเวียดนามใต้ของประธานาธิบดีเหงียน วัน เถี่ยว ให้ออกจากจังหวัดในที่ราบสูงภาคกลางทั้งหมด ทำให้กระบวนการจัดทัพของเวียดนามใต้เกิดความสับสนอลหม่าน จนมีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของประธานาธิบดีเถี่ยวอย่างแพร่หลายจากสื่อมวลชนสำนักต่างๆ ดังนั้นประธานาธิบดีเถี่ยว จึงออกมาตรการจัดการสื่อมวลชน(ปากเสีย) ที่ทำให้เขาเสียเครดิตจากการนำเสนอข่าวการถอนทัพออกจากที่ราบสูง ด้วยการสั่งปิดสำนักหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ และจับก ุมนักข่าว 19 คน รวมถึงการจับตานักข่าวต่างชาติที่ชอบนำเสนอข่าวตรงไปตรงมาและเจาะลึกเป็นพิเศษ หนึ่งในนักข่าวคนนั้นคือ Paul Leandri นักข่าวฝรั่งเศสจากสำนักข่าว AFP วัย 37 ปี ซึ่งได้ทำข่าวการสู้รบบนที่ราบสูง โดยเฉพาะข่าวเมืองเบือนบวนมาถ็วตถูกตีแตก จนมีข้อมูลข่าวลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ NY times ในเวลาต่อมานาย Paul ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจเวียดนามใต้ให้เดินทางไปยังสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อคุยเรื่องวีซ่าที่ใกล้จะหมดอายุ หลังเสร็จภารกิจ ขณะที่นาย Paul กำลังขึ้นรถเดินทางกลับ ก็ได้ถูกตำรวจยิงเสียชีวิตบนรถเก๋ง...

สาเหตุของการเกิดสงครามเวียดนาม

  ปี  1885   เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส   เพื่อความง่ายในการปกครองทำให้ ฝรั่งเศสแบ่งการปกครอง เวียดนามเป็น     3   แคว้น    คือ แค้วนตังเกี๋ยอยู่ทางตอนเหนือ แคว้นอันนัมอยู่ทางตอนกลาง  และแคว้นโคชินไซน่าอยู่ทางตอนใต้    ฝรั่งเศสได้เปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา  วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของเวียดนามเดิมให้เป็นแบบฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่   ปี 1941 ขณะเกิดสงครามเวียดมินห์   ขึ้น เพื่อขับไล่ฝรั่งเศส โดยมีผู้นำ คือ   โฮจิมินห์                                                                           โฮ จิ มินห์   (Ho Chi Minh)      ปี  1942  ขณะเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา  ญี่ปุ่นได้ยึดครองภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เวียดนามจึงได้ประกาศตนอิสระ  แต่...

จอมพล ลนนล หนีออกจากสาธารณรัฐเขมร 1 เม.ย. 2518

จอมพล ลนนล หนีออกจากสาธารณรัฐเขมร 1 เม.ย. 2518 เมื่อเวลา 11.00 น. ของวันอังคารที่ 1 เมษายน 2518 จอมพล ลนนล ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเขมร พร้อมกับภรรยา มาดามฮอง และสมาชิกครอบครัว เดินทางออกจากทำเนียบจมการมอน ในกรุงพนมเปญ เพื่อไปยังท่าอากาศยานนานาชาติโปเชนตง โดยสารเครื่องบินไปยังสาธารณรัฐอินโดนีเซียเพื่อลี้ภัย ก่อนที่ภายหลังจะเดินทางลี้ภัยไปปักหลักถาวรที่สหรัฐอเมริกา โดยไม่เคยกลับมายังแผ่นดินเกิดอีกเลย ปล. คนใส่แว่นข้างหลังมาดามคือนายกรัฐมนตรี ลอง โบเรต ผู้ซึ่งขออยู่ในพนมเปญต่อเพื่อดำเนินการเจรจาสงบศึกกับเขมรแดงจนถึงวันสุดท้าย จนสายเกินไปที่จะหลบหนี ก่อนที่เขาจะถูกเขมรแดงจับประหารชีวิต เรียบเรียงข้อมูลโดยคุณ กิตติบดี คะเณย์