Skip to main content

สาเหตุของการเกิดสงครามเวียดนาม


  ปี  1885 เวียดนามตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส เพื่อความง่ายในการปกครองทำให้ฝรั่งเศสแบ่งการปกครอง เวียดนามเป็น  3 แคว้น  คือ แค้วนตังเกี๋ยอยู่ทางตอนเหนือ แคว้นอันนัมอยู่ทางตอนกลาง  และแคว้นโคชินไซน่าอยู่ทางตอนใต้   ฝรั่งเศสได้เปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของเวียดนามเดิมให้เป็นแบบฝรั่งเศสเป็นส่วนใหญ่  ปี 1941ขณะเกิดสงครามเวียดมินห์ ขึ้น เพื่อขับไล่ฝรั่งเศส โดยมีผู้นำ คือ โฮจิมินห์
                                                                         โฮ จิ มินห์ (Ho Chi Minh)


     ปี 1942 ขณะเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา  ญี่ปุ่นได้ยึดครองภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  เวียดนามจึงได้ประกาศตนอิสระ  แต่คงอยู่ในการควบคุมของญี่ปุ่น    ขบวนการเวียดมินห์ที่เกิดขึ้นมาก่อนนั้นก็ได้ร่วมมือกับสหรัฐและฝ่ายพันธมิตร  ทำการต่อต้านญี่ปุ่น    ก่อนเข้าสู่เนื้อหาของสงครามครั้งนี้จำเป็นอย่างมากที่สุดที่จะต้องรู้จักกับ  “เวียดมินห์”  ให้ดีเสียก่อน
     เวียดมินห์  หรือกองทัพประชาชนเวียดนามหรือบางแหล่งก็เรียกสันติบาตเพื่อเอกราชเวียดนามคือขบวนทางการเมืองมีจุดประสงค์เพื่อปลดปล่อยเวียดนามอออกจากปกครองของฝรั่งเศส  จัดตั้งเมื่อปี  1941  โดย  มี โฮจิมินห์  เป็นผู้นำนายพลโหว  เหวียน  ย้าบ เป็นผู้บัญชาการกองทัพคนแรก



                            นายพลหวอ เงวียน ย๊าปในวัยหนุ่มกับโฮ จิ มินห์ ผู้กุมชะตากรรมของเวียดนามเหนือ


  ต่อมาในเดือนมีนาคม  1945  สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป  คือญี่ปุ่นได้ปลดอาวุธและขังทหารฝรั่งเศสประจำอินโดจีน  จึงเป็นสาเหตุทำให้ฝรั่งเศสนั้นเสียศักดิ์ศรีไปมาก  เพราะขณะเกิดเรื่องนี้  ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงครามซึ่งเท่ากับการเปิดโอกาสให้ชาวเวียดนามกลุ่มต่าง ๆ ที่ดิ้นรนเพื่อเป็นเอกราชได้เริ่มดำเนินการทันที  ซึ่งผู้นำนั้นก็คือ เบาได๋  ซึ่งเคยเป็นจักรพรรดิแคว้นอันนัมได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น “จักรพรรดิแห่งเวียดนาม” และต่อมาทำให้กลุ่มของเบาได๋ มีความหวังยิ่งขึ้น  คือนายพลเดอโกลล์ได้กล่าวคลุมเครือว่าอย่างให้เวียดนามปกครองตนเอง  ซึ่งทำให้ชาตินิยมต่างก็มีความหวังในเรื่องเอกราชโดยสันติวิธียิ่งขึ้นไปอีก  แต่หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ทำลายความหวังลงไปเพราะกลุ่มเวียดมินห์ได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น  แต่คำสั่งนี้มีเจตนาแอบแฝงไว้เพื่อหวังผลอีกทางหนึ่งโดยมีเจตนาหาทางป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสกลับมามีอำนาจในเวียดนามอีก  ซึ่งการที่กลุ่มเวียดนามมินห์ได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่นได้ผลดีมากในทางภาคเหนือของประเทศ  จักรพรรดิเบาได๋ ได้สละตำแหน่งประมุขของประเทศแล้วจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นแล้วประกาศเอกราชในเวลาต่อมาความสำเร็จในการยึดอำนาจครั้งนี้ ทำให้พวกคอมมิวนิสต์ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาตินิยมเวียดนามสามารถตั้งตนในหมู่คณะชั้นนำของขบวนการปฏิบัติได้
                เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงคราม โฮจิมินห์จึงตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น  เมื่อปี ค.ศ.1945 และหลังจากที่จักรดิพรรดิเบาได๋  ได้สละราชสมบัติในปีเดียวกันนั้นโฮจิมินห์ก็ได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้นบริหารประเทศและได้เปลี่ยนการปกครองเป็นสาธารณรัฐ
                ฝรั่งเศสยังมีความพยายามที่จะยึดครองเวียดนามอยู่  แต่โอกาสยังไม่อำนวยเพราะขาดกำลังทหารและพาหนะลำเลียง  แต่เวียดนามก็ยังคงตกอยู่ในสภาพดังเดิม  เพราะมหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามได้เข้ามายึดครองแทน  โดยมีอังกฤษยึดครองภาคใต้ของเวียดนาม  จีนคณะชาติยึดครองทางภาคเหนือของเวียดนาม ชาวเมืองต่างไม่พอใจในการกระทำของอังกฤษ  นายพลเกรซี่ย์  ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษในเวียดนาม  ได้ประกาศกฎอัยการศึกในเขตที่ยึดครอง  สำหรับฝรั่งมีทหารจำนวนเล็กน้อยได้มาถึงไซ่ง่อนแล้ว  ไปยึดตึก ที่ทำการของรัฐบาลรื้อฟื้นอำนาจของฝรั่งใหม่
                หลังสิ้นสุดสงครามโลก ฝรั่งเศสผู้เจ้าอาณานิคมเดิมได้หาทางกลับไปมีอิทธิพลเหนือเวียดนาม  โดยมีอังกฤษให้ความช่วยเหลือ  ขบวนการเวียดมินห์ได้พยายามต่อสู้เพื่อขับไล่ฝรั่งเศสอยู่  9  ปี  แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ฝรั่งเศสเข้ายึดเมืองต่าง ๆ ไว้ได้
                โฮจิมินห์เริ่มเล็งเห็นถึงความเสียเปรียบที่พยายามจะเอาชนะฝรั่งเศสซึ่งกระทำได้โดยการรวบรวมชาวเวียดนามที่มีหัวชาตินิยมไปเป็นพวก และเพื่อเป็นการปกปิดการหนุนหลังคอมมิวนิสต์พร้อมแสดงให้ประชนชนเห็นว่าเป็น ขบวนการผู้รักชาติ  โดยสั่งยุบพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย และจัดตั้งแนวร่วมแห่งชาติ  ขึ้นแทน ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน  ดำเนินการอย่างลับ ๆ ต่อมาเป็นเวลานาน ๆ
                ภาคเหนือของเวียดนาม  เป็นที่มั่นของขบวนการเวียดมินห์แต่มีกองทัพจีนคณะชาติอยู่  ฝรั่งเศสอยากให้จีนคณะชาติถอนตัวไปเพื่อจะได้ปราบพวกเวียดมินห์  และยึดภาคเหนือคืนได้สะดวกขึ้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ 1946  ฝรั่งเศสจึงได้ตกลงกับเจียงไคเซ็ก ยอมยกเลิกสิทธิพิเศษในจีนเพื่อแลกกับการถอนทหารจีนออกไปจากภาคเหนือของเวียดนาม  โฮจิมินห์พอเข้าใจถึงผลจากข้อตกลงนี้  ดังนั้นเพื่อไม่ให้ต้องปะทะกับฝรั่งเศสและจึงยอมให้ฝรั่งเศสยึดที่มั่นบางแห่งในภาคกลางและภาคเหนือ  เพราะขณะนี้โฮจิมินห์ยังไม่พร้อม ยังที่จะรบหรือต่อสู้กับชาติใด ๆ ทั้งสิ้น
                ฝรั่งเศสและเวียดมินห์ต่างก็พยายามจะตกลงกันโดยใช้สันติวิธีโดยโฮจิมินห์ยอมให้ฝรั่งเศสเคลื่อนกำลังเข้ายังฮานอยและไฮฟอง  ส่วนฝรั่งเศสก็ตอบแทนด้วยการรับปากว่าจะให้เวียดนามเป็นประเทศเสรี แต่ผลที่ได้รับจากการตกลงดังกล่าว  ได้กลายเป็นสาเหตุแห่งความยุ่งยากร้ายแรงในเวลาต่อมากล่าวคือ  การประชุมเจรจากันระหว่าง  2  ประเทศนั้นไม่ลงรอยกันมากขึ้นเพราะการประชุมส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไม่ได้กล่าวถึงเสรีภาพเลย  ฝรั่งเศสมุ่งที่จะยึดครองด้วยกำลังทหาร  ในช่วงเวลานี้ได้เกิดเหตุร้ายในไฮฟองหลายครั้ง  ฝรั่งเศสระดมยิงหมู่บ้านไฮฟองเสียหายมากมาย
                ผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้เวียดมินห์เห็นว่า  การตกลงโดยสันติวิธีกับฝรั่งเศสคงไม่เป็นผลดังนั้นจึงได้สั่งเคลื่อนกำลังพลโจมตีกองทหารฝรั่งเศสทั่วประเทศทันทีในวันที่  9  ธันวาคม  1946
                หลังจากที่จีนคอมมิวนิสต์ได้ขับไล่จีนคณะชาติไปยังเกาะไต้หวันแล้วก็เข้ามาช่วยขบวนการเวียดมินห์เพื่อขับไล่ฝรั่งเศส  ต่อมาเมื่อเวียดมินต์ยึดเดียนเบียนฟูได้  ฝรั่งเศสกับเวียดนามก็ได้ทำสัญญาสงบศึกที่กรุงเจนิวา  เมื่อปี 1954  เรียกสัญญาที่ทำกันในเวลานั้นว่า  อนุสัญญาเจนีวามีสาระสำคัญคือแบ่งเวียดนามออกเป็นสองส่วน  คือเวียดนามส่วนเหนือและเวียดนามส่วนใต้  โดยใช้เส้นรุ้งที่  17 เหนือ  ซึ่งผ่านเมืองกวางตรี  ตามแนวแม่น้ำเบนไฮ เป็นเส้นแบ่งเขตแดน และให้เวียดนามเหนือ เวียดนามใต้ ลาว และกัมพูชา  ซึ่งเคยรวมเป็นอินโดจีนของฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 1925  แยกออกเป็นรัฐอิสระ  พื้นจากการปกครองของฝรั่งเศส  พื้นที่บริเวณเส้นรุ้ง  17  องศาเหนือ มีเขตแดนปลอดทหารด้านละไม่เกิน  5  กิโลเมตร  ในการนี้สหรัฐฯและเวียดนามใต้ไม่ได้ร่วมลงนามด้วย

 เหตุการณ์ในเวียดนามก่อนเกิดสงคราม                                                       

                ตามอนุสัญญาเจนีวา  ค.ศ. 1954  ที่ประชุมใหญ่ระหว่างชาติมีสหรัฐฯ  อังกฤษ  สหภาพโซเวียต  เวียดนาม  ลาว  และกัมพูชา  มีสาระสำคัญอยู่  5  ประการ  ที่สำคัญ  ประการหนึ่ง  คือ  เมื่อครบกำหนด  2  ปี  นับตั้งแต่ทำสัญญาสงบศึก  ทั้งสองฝ่ายจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเวียดนาม  การเลือกตั้งให้อยู่ในความควบคุมของคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศ  และประชาชนทั้งสองฝ่ายต้องมิสิทธิ์ที่จะเลือกถิ่นที่อยู่โดยเสรี แต่ปรากฏไม่ได้ว่ามีการปฏิบัติตามข้อตกลง  ไม่มีการเลือกตั้ง  เวียดนามจึงแบ่งออกเวียดนามใต้และเวียดนามเหนือโดยปริยาย 
                ในปี 1985  เวียดนามเหนือหรือเวียดมินห์  ได้เริ่มทำสงครามกองโจรกับเวียดนามใต้  โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ  เยาวชน เวียดมินห์จะเกลี้ยกล่อมเด็กอายุระหว่าง  15-16  ปี  เข้าสมัครพรรคพวกฝึกอาวุธให้  แล้วเข้าแทรกซึมในหมู่บ้านจนประสบผลสำเร็จ สามารถขยายอิทธิพลออกไปอย่างกว้างขวาง  ต่อมาในปี  1959  เวียดมินห์เริ่มทำการรุกรานเวียดนามใต้ด้วยอาวุธ และกำลังทหาร และในปี 1960  โฮจิมินห์ได้จัดตั้งกองกำลังเวียดกง  แนวร่วมรักชาติเพื่อปลอดปล่อยเวียดนามใต้  โดยได้ดำเนินการปลูกฝังแนวความคิด  โฆษณาชวนเชื่อ  ขู่เข็ญ  คุกคาม  และจูงใจในทุกวิถีทาง  โดยผ่านองค์การบังหน้าต่าง ๆ
                ในปี 1961  เวียดนามเหนือได้ทำการรุกรานเวียดนามใต้อย่างรุนแรง  จนรัฐบาลเวียดนามใต้ต้องขอความช่วยเหลือจากมิตรประเทศฝ่ายโลกเสรี  ในปี  1965  เวียดนามเหนือได้ขยายกองกำลังเวียดกงขึ้นไปถึงระดับกองทัพ  เริ่มเปิดฉากการรุกหนักหลายด้าน จนสามารถยึดพื้นที่ส่วนหนึ่งของภาคกลางของเวียดนามใต้ได้เป็นจำนวนมาก  และได้โจมตีเรือรบของสหรัฐฯ  ทำให้ประธานาธิบดี จอห์นสัน  ของสหรัฐฯ  ได้ตัดสินใจทำสงครามแบบขยายขอบเขต  ( Escalation)  เข้าไปในเวียดนามเหนือ  สงครามโดยเปิดเผยระหว่างสหรัฐฯและเวียดนามเหนือ  จึงเริ่มต้นตั้งแต่กุมภาพันธ์  1965  เป็นต้นมา





             เด็กชาวเวียดนาม 2 คนจ้องทหารอเมริกันที่กำลังถืออาวุธ เอ็ม 79 โดยมีแม่ของพวกเขากอดลูกๆเอาไว้ ป้องกันการโจมตีขากบรรดาทหารเวียดกงที่เปิดฉากยิงในพื้นที่เบาไทร
  



แววตาของชาวบ้านบ่งบอกได้เป็นอย่างดีถึงความทุกข์เศร้า เด็กและผู้หญิงต้องหลบอยู่ในคลองโคลน ระหว่างการต่อสู้กันอย่างรุนแรงกับกองกำลังเวียดกง


ทำไมสงครามเวียดนามจึงกลายเป็นสงครามตัวแทน
                หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงปี  1945 โลกได้ถูกแบ่งออกเป็น  2  ค่าย  คือ  ค่อยคอมมิวนิสต์  มีสหภาพโซเวียตเป็นผู้นำ  และค่ายเสรีประชาธิปไตยมีสหรัฐฯ เป็นผู้นำค่ายคอมมิวนิสต์  มีนโยบายอย่างรุกราน  และต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศต่าง ๆ ในโลกแบบให้เป็นแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์  สหรัฐฯ จึงได้เสนอแผนการมาร์แชล  ( Marshall Plan ) เพื่อบูรณะฟื้นฟูประเทศในยุโรปตะวันตกจากวิกฤตทางเศรษฐกิจและตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ  ( NATO )  สำหรับช่วยเหลือในทางทหาร
                ในเอเชียฝ่ายคอมมิวนิสต์ขยายอิทธิพลด้วยการส่งจารชน  และผู้ก่อการร้ายเข้าไปบ่อนทำลายบรรดาประเทศทวีปเอเชีย เช่น  อินโดนีเซีย  เกาหลี  ศรีลังกา  พม่า  กัมพูชา  ลาว  และไทย  เพื่อเผยแพร่ลัทธิ  และเข้ายึดครองประเทศเหล่านั้นตามอุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์
                สหรัฐฯ ตระหนักดีว่า  หากอินโดจีนแพ้สงคราม  และตกเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว  จะนำไปสู่การสูญเสียเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดตามทฤษฏีโดมิโน  ( Domino Theory )  จึงได้ทุ่มเทความช่วยเหลือให้แก่เวียดนามใต้  สหรัฐฯจึงเป็นผู้นำในการต่อต้านเวียดนามเหนือ  นับตั้งแต่ฝรั่งเศสต่อสู้กับเวียดนามเหนือพ่ายแพ้
                ปี  1965  เวียดนามใต้ตกอยู่ในจุดล่อแหลมที่สุด  สหรัฐ ฯ  จึงตกลงใจส่งกำลังทหารเข้าไปปฏิบัติการในเวียดนามใต้พร้อมกับกำลังของฝ่ายโลกเสรีอีก  6  ประเทศ  คือ  ออสเตรเลีย   นิวซีแลนด์  สเปน  ฟิลิปปินส์  สาธารณรัฐจีน  (ไต้หวัน)  และไทย  การจัดรูปแบบของการรบเป็นในแบบสงครามความจำกัด  มุ่งให้เป็นการรบของ  เวียดนามทั้งสองฝ่ายเท่านั้น





 อเมริกา เข้าร่วมในสงครามครั้งนี้ อย่างเต็มตัว



และนับตั้งแต่ปี  1954  เป็นต้นมาเช่นกัน  สหภาพโซเวียต  และสาธารณะรัฐประชาชนจีน ซึ่งเป็นประเทศฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ก็ได้ให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอุตสาหกรรมของ  เวียดนามเหนือมาโดยตลอด  หลังปี  1965  เวียดนามเหนือได้ส่งคณะผู้แทนไปติดต่อประเทศฝ่ายคอมมิวนิสต์กว้างขวางยิ่งขึ้น  ระหว่างปี  ค.ศ.  1968 – 1970  ได้มีประเทศที่ให้ความช่วยเหลือได้แก่  โปแลนด์ เยอรมันนีตะวันออก  โรมาเนีย  เซคโกสโลวาเกีย  บัลกาเรีย  แอลเบเนีย  แมนจูเรีย  มองโกเลีย  และเกาหลีเหนือ 


  สหรัฐ ฯ  เริ่มส่งที่ปรึกษาทางทหารและส่งอาวุธยุทโธปกรณ์  เพื่อพัฒนากองทัพให้กับเวียดนามใต้  ตั้งแต่สมัยประธานาธิบดีไอเซนฮาวเออร์และประธานาธิบดีจอห์น  เอฟ. เคนเนดี  ต่อมาเมื่อเคเนดีเสียชีวิตจากการลอบสังหารที่ดัลลัส  เท็กซัส  รองประธานาธิบดี จอห์นสันได้รับตำแหน่งผู้นำสหรัฐ ฯ  แทน  ได้ส่งกำลังพลนับแสนคนพร้อมอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูง  เข้ามาสกัดกั้นการคุกคามของคอมมิวนิสต์ ในเวียดนาม  ทำให้สงครามเวียดนามขยายตัวและรุนแรงมากขึ้น  นับแต่   ค.ศ.  1965  เป็นต้นมา 
             ฝ่ายคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนือมีกองทัพเวียดมินห์  สำหรับการรบเต็มรูปแบบและมีขบวนการเวียดกง  เป็นประชาชนทั่วไปที่นิยมคอมมิวนิสต์หรือถูกบังคับให้เป็นคอมมิวนิสต์คอยปฏิบัติการแทรกซึมและบ่อนทำลายอยู่ทั่วไปในเวียดนามใต้  ทำให้ยากต่อการปราบปรามและทำให้สื่อต่าง ๆ  เสนอภาพเสมือนทหารสหรัฐ ฯ  รังแกประชาชนเวียดนามที่อ่อนแอกว่า


                                                          ป้ายด้านหน้าฐานทัพอากาศสหรัฐที่โคราช

                                                       

                                                          เครื่องบินรบของสหรัฐฯที่โคราชระหว่างสงคราม
    ในด้านสงคราม  เวียดนามเหนือกำหนดแผนการเข้ายึดเวียดนามใต้  เพื่อรวมเป็นประเทศเดียวกัน  โดยแบ่งการดำเนินการเป็น  3  ขั้นตอน  คือ 
              1.  เสริมสร้างความมั่นคงให้แก่เวียดนามเหนือ 
              2.  ปลดแอกเวียดนามใต้ 
              3.  รวมเวียดนามทั้งสองส่วนเข้าด้วยกัน

            ในปี  1971  เวียดนามเหนือประสบความสำเร็จในการจัดตั้งโครงสร้างทางการเมืองภายใน  (Infrastructure)  ในเวียดนามใต้อย่างต่อเนื่อง 
            ในปลายปี  1971  เวียดนามใต้พัฒนาระบบการส่งกำลังบำรุงทั้งในลาวใต้  และกัมพูชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นทางโฮจิมินห์  เพิ่มความรุนแรงในการปฏิบัติการทางทหารจากระดับเดิมมากยิ่งขึ้นโดยการส่งกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์  แทรกซึมเข้าไปในเวียดนามใต้  รวมทั้ง เคลื่อนย้ายกำลังหลักจากเวียดนามเหนือมายังเวียดนามใต้  แล้วเริ่มทำการรุกใหญ่  ตั้งแต่วันที่  10  มีนาคม  1972 เป็นต้นมา 

 เวียดนามเหนือได้ปฏิบัติการรุกเข้าไปในเวียดนามใต้  เพื่อผลทางการเมือง  2  ครั้ง  ครั้งที่  1  ระหว่างปลายเดือนกันยายนถึงต้นเดือนตุลาคม  1971  เป็นระยะที่มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรและประธานาธิบดีในเวียดนามใต้  ครั้งที่  2  ระหว่างปลายเดือนมีนาคม – พฤษภาคม  1972  เวียดนามเหนือได้เปิดฉากการรุกใหญ่ในเวียดนามใต้  จากเขตปลอดทหารลงไปจนถึงแหลมคาเมา  มีการปฏิบัติด้วยความรุนแรงที่บริเวณชายฝั่งทะเลตอนกลางของเวียดนามใต้  รวมทั้งภาคตะวันออก  และภาคตะวันตกที่มีราษฎรอาศัยอยู่หนาแน่น  พื้นที่ปฏิบัติการของกำลังรบหลักเวียดนามเหนือได้แก่พื้นที่ตั้งเขตปลอดทหาร  (เส้นขนานที่  17 )  ลงมายังที่ราบสูงด้านตะวันตกของเวียดนามใต้  และพื้นที่ติดชายแดนลาวเหนือ  จังหวัดไทนินห์  และทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงไซ่ง่อน 

                การที่เวียดนามเหนือรุกใหญ่ครั้งนี้  เนื่องจากสหภาพโซเวียตให้การสนับสนุนอาวุธหนัก  เช่น  ปืนใหญ่  รถถัง  และปืนต่อสู้อากาศยานเป็นจำนวนมาก  กองทัพเวียดนามใต้สามารถต้านทานไว้ได้อย่างเหนียวแน่น  ฝ่ายเวียดนามเหนือยังไม่สามารถยึดจังหวัดกวางตรีได้  รถถัง  50  คัน  ถูกทำลายเกือบหมด  กองทัพอากาศสหรัฐ ฯ   ได้ส่งฝูงบินทิ้งระเบิดแบบ  B – 52   ไปทิ้งระเบิดข้าศึกบริเวณจังหวัดเกียวลิน  นับเป็นการเริ่มต้นการทิ้งระเบิดโจมตีเวียดนามเหนือครั้งใหม่  หลังจากได้หยุดชะงักมาตั้งแต่วันที่  11  ตุลาคม  1968 




                                                                                              ภาพนี้เป็น B-52 ระหว่างสงคราม


                                                              ภาพแสดงให้เห็นการทิ้งระเบิดของ B-52

  เวียดนามเหนือได้หันไปเปิดการรุกทางภาคใต้ของเวียดนามใต้  โดยส่งกำลังประมาณ  10,000  คน  พร้อมรถถังเป็นจำนวนมาก  จากฐานที่ตั้งในกัมพูชาบุกเข้าเวียดนามใต้  มุ่งเข้ายึดจังหวัดล็อคนิน  และอันล็อค  เพื่อบุกเข้าไปยึดกรุงไซ่ง่อน  และพวกเวียดกงในที่ราบลุ่ม  บริเวณปากแม่น้ำโขง  ก็เริ่มเปิดฉากรุกเข้าสู่กรุงไซ่ง่อน  

           ฝูงชนซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนเวียดนามใต้พยายามหนีไปกับเฮลิคอปเตอร์ในสถานทูตอเมริกาขณะที่กรุงไซง่อนกำลังโดนเวียดนามเหนือเข้ายึด


 ฝ่ายสหรัฐ ฯ  นั้นในช่วงแรกของสงคราม  เวียดนามเหนือได้ใช้ยุทธวิธียกกำลังทำสงครามเต็มรูปแบบกับกองทัพสหรัฐฯ  โดยบุกเข้ามาใต้เส้นขนานที่  17  และสังหารประชาชนอย่างโหดเหี้ยม  แม้จะไม่ได้ชัยชนะแต่ก็ทำให้ชาวเวียดนามใต้เกิดความเกรงกลัวอำนาจของคอมมิวนิสต์เวียดนามเหนืออย่างมาก  จึงมักยอมเข้ากับ  เวียดนามในฐานะกองกำลังเวียดกง  ปฏิบัติการแทรกซึม บ่อนทำลายในเวียดนามใต้    

                                    แผนที่แสดงการแบ่งเขตเวียดนามเหนือ-ใต้ ณ เส้นขนานที่ 17


  สหรัฐ ฯ  และพันธมิตรในองค์การ  SEATO  ได้ระดมความร่วมมือทางทหารเข้าไปรบในเวียดนามแต่ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก  เพราะส่วนใหญ่เวียดนามเหนือและเวียดกงรบแบบกองโจร  ลอบวางระเบิดและซุ่มโจมตี  ทำให้ทหารเวียดนามใต้และทหารนาวิกโยธินสหรัฐ ฯ เสียชีวิตจำนวนมาก  จึงใช้การปราบปรามอย่างรุนแรง  เช่น  ยิงทิ้งผู้ที่คาดว่าเป็นเวียดกง  การเผาทำลาย  ลายหมู่บ้าน  ตลอดจนการทิ้งระเบิดปูพรมตามจุดยุทธศาสตร์ต่าง ๆ  เช่น  เมืองท่าและชายแดนเวียดนาม – กัมพูชา  เพื่อตัดเส้นทางการลำเลียงทหารและอาวุธจากเวียดนามเหนือสู่เวียดนามใต้ผ่านทางกัมพูชา  ทำให้เกิดความสูญเสีย  เสียต่อพลเรือนจำนวนมหาศาล  ส่งผลให้ทั่วโลกประณามการกระทำของสหรัฐ ฯ                           CIA ของสหรัฐฯยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติเปลี่ยนผู้นำรัฐบาลเวียดนามใต้บ่อยครั้ง  แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถแก้ปัญหาการคอรัปชั่นในรัฐบาลที่ตั้งขึ้นได้ ทำให้งบประมาณที่สหรัฐฯให้ปรับปรุงกองทัพหรือพัฒนาชนบทกลับตกไปอยู่ในมือของข้าราชการระดับสูงและนายทหารของเวียดนามใต้ 
                การรบในเวียดนามซึ่งทำให้สหรัฐ ฯ สูญเสียทหารจำนวนมากเพราะไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศและมีความกดดันจากการเผชิญกับเวียดกงที่รบในประเทศตนเอง  ยากต่อการเอาชนะ 
การเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีส                 การเจรจาเพื่อยุติสงครามในเวียดนาม  ระหว่างสหรัฐ ฯ  และเวียดนามใต้ฝ่ายหนึ่ง กับเวียดนามเหนือและเวียดกงอีกฝ่ายหนึ่ง เริ่มการเจรจามาตั้งแต่เดือนตุลาคม  1968  จนถึงเดือนมกราคม  1972  ปรากฏว่าที่ประชุมไม่สามารถตกลงปัญหากันได้  ฝ่ายเวียดนามเหนือและเวียดกงได้ยื่นข้อเสนอต่อที่ประชุมครั้งหลังสุด  เมื่อ  1  กรกฎาคม  1971 สรุปได้ดังนี้ 
                1.  สหรัฐ ฯ  ต้องกำหนดเวลาถอนทหาร  และทหารชาติพันธมิตรฝ่ายโลกเสรีออกจากเวียดนามใต้โดยเร็วที่สุด  และต้องส่งคืนเชลยศึกเวียดนามเหนือและเวียดกงด้วย 
               2.  ยุติการสนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดีเหงียนวันเทียวของเวียดนามใต้  และรีบจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น
               3.  การแก้ไขปัญหาการขัดแย้งระหว่างกำลังทหารเวียดนามใต้ กับเวียดกง เป็นเรื่องระหว่างชาวเวียดนามด้วยกันเอง
               4.  จัดให้มีการรวมประเทศเวียดนามเป็นขั้นตอนตามลำดับ
                5.  เวียดนามใต้ต้องดำเนินนโยบายเป็นกลาง
                6.  สหรัฐฯ ต้องชดใช้ค่าเสียหายจากสงครามให้กับเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้
                7.  ข้อตกลงต่าง ๆ ที่ลงนามร่วมกันนั้น จะต้องมีองค์การระหว่างประเทศให้การรับรองด้วย
ข้อเสนอดังกล่าวนี้ ฝ่ายสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ไม่ยอมรับ  โดยเฉพาะข้อ 1 และข้อ 2 ทำให้การเจรจาหยุดชะงัก ขณะเดียวกันสหรัฐฯ ได้ส่งนายคิสซิงเจอร์ ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของประธานาธิบดี เดินทางไปเจรจาอย่างไม่เป็นทางการกับฝ่ายเวียดนามเหนือที่กรุงปารีสถึง 10 ครั้ง  ในที่สุดฝ่ายสหรัฐฯและเวียดนามใต้ได้ยื่นข้อเสนอต่อที่ประชุมรวม 8 ข้อ มีลักษณะโอนอ่อนให้แก่เวียดนามเหนือเป็นอันมาก เพื่อแสดงว่าสหรัฐฯนั้นมีความตั้งใจที่จะยุติสงครามเวียดนาม  แต่ฝ่ายเวียดนามเหนือไม่ยอมตกลงใด ๆ ด้วย สหรัฐฯ จึงตกลงใจเปิดเผยการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการให้ชาวโลกได้ทราบข้อเท็จจริง ทำให้เวียดนามเหนือและเวียดกง แสดงความโกรธแค้นสหรัฐฯมาก และได้ปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯอย่างเป็นทางการในการประชุม  ครั้งที่ 143 เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 1972  พร้อมกับยื่นข้อเสนอใหม่ 8 ข้อ มีสาระสำคัญว่าให้สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรฝ่ายโลกเสรีถอนกำลังทั้งหมดออกจากเวียดนามใต้โดยไม่มีเงื่อนไขกับให้ยกเลิกโครงการช่วยเหลือตนเองในการป้องกันทางทหารของเวียดนามใต้
             ประเทศฝ่ายโลกเสรีทั่วไป โดยเฉพาะชาวอเมริกันมีความเห็นว่าข้อเสนอของสหรัฐฯ เหมาะสม
และยุติธรรมดีแล้ว แสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่ที่จะยุติสงครามเวียดนาม ชมเชยรัฐบาลเวียดนามใต้ว่าใจกว้างและกล้าหาญพอที่จะแข่งขันกับฝ่ายเวียดนามเหนือด้วยวิถีทางการเมืองอย่างยุติธรรมและได้ประณามเวียดนามเหนือว่าปราศจากความบริสุทธิ์ใจที่จะยุติสงคราม   ส่วนประเทศผู้นำฝ่ายคอมมิวนิสต์ต่างก็แสดงการสนับสนุนเวียดนามเหนือและเวียดกง
                             ต่อมาในปลายเดือนมีนาคม  นางเหงียนทิบินห์  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามเหนือและหัวหน้าคณะผู้แทนเวียดกง ได้เดินทางไปร่วมเจรจาที่กรุงปารีสอีกครั้ง โดยยืนกรานให้สหรัฐฯ ถอนทหารทั้งหมดออกจากเวียดนามใต้  และให้ประธานาธิบดีเหงียนวันเทียว ลาออกจากตำแหน่ง และยุบรัฐบาลก่อน ฝ่ายเวียดนามเหนือและเวียดกงจึงจะยอมเจรจาด้วย นอกจากนี้สหรัฐฯต้องปฏิบัติตามข้อเสนอของฝ่ายเวียดนามเหนือและเวียดกง จึงจะมีการเจรจาสงบศึกกันต่อไป  เมื่อเป็นดังนี้ประธานาธิบดีนิกสันจึงสั่งให้ยุติการประชุม
สถานการณ์ในเวียดนามใต้หลังการถอนกำลังฝ่ายโลกเสรี                สหรัฐฯได้ถอนกำลังในเวียดนามใต้เป็นจำนวน 450,000 คน แต่เวียดนามเหนือและเวียดกง ก็มิได้ปฏิบัติการอันใดที่จะช่วยให้เกิดสันติภาพ แต่กลับฉวยโอกาสทำการรุกรบทันทีเมื่อได้โอกาส ดังนั้นการเจรจาสงบศึกที่กรุงปารีสตลอดเวลา 3 ปีครึ่ง จำนวน 146 ครั้ง จึงไม่มีผลคืบหน้าเท่าที่ควร จนในที่สุดสหรัฐฯ ก็ถอนตัวออกจากการประชุม



                        ชาวเวียดนามถูกเป็นเป้าโจมตีจากแรงระเบิดบนถนนแห่งหนึ่งนอกสถานทูตสหรัฐ เมืองไซ่ง่อน

  จากการประชุมใหญ่ครั้งที่ 2  ของเวียดนามเหนือในเดือน เมษายน 1972 จนทำให้สหรัฐฯ ต้องตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศ ตามเส้นทางส่งกำลัของฝ่ายเวียดนามเหนือ ตั้งแต่เมืองท่าไฮฟอง  กรุงฮานอย และเส้นทางรถไฟสายจีน – เวียดนาม เป็นผลให้เวียดนามเหนือต้องชะลอการบุกของตนลงเนื่องจากประสบปัญหาด้านการส่งกำลัง เมื่อตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เวียดนามเหนือ  จึงหันไปใช้ที่ประชุมเจรจาตกลงสงบศึกอีกครั้ง สหรัฐฯ ยอมกลับเข้าร่วมเจรจาด้วยเมื่อ 29  เมษายน  1972  และในวันเดียวกันนี้ ประธานาธิบดี นิกสันได้ออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐฯ  จะถอนทหารจำนวน 20,000 คน ออกจากเวียดนามใต้  และในวันที่ 1 กรกฎาคม  1972 กำลังทหารภาคพื้นดินของสหรัฐฯ  จะเหลืออยู่ในเวียดนามได้เพียง 49,000 คนเท่านั้น






          เฮลิคอปเตอร์ขณะทะยานขึ้นจากพื้นดิน หลังส่งบรรดาทหารราบของสหรัฐฯเข้าร่วมในปฏิบัติการค้นหาและทำลาย (Search and Destrory)


เมื่อเวียดนามเหนือเปิดการเจรจาที่กรุงปารีสได้ กลับดำเนินการรุกรบเวียดนามใต้โดยใช้กำลังทหาร 40,000 คนเข้าตีเมืองกวางตรี โดยใช้กองพล รถถังเป็นขบวนนำเข้าตีและยึดเมืองดองฮาได้ แล้วเคลื่อนกำลังไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้  เพื่อเข้ายึดเมืองเว้ต่อไป พร้อมกับการเข้าตีเมืองกวางตรี เวียดนามเหนือได้ส่งกำลังทหาร 20,000 คน รุกจากชายแดนลาวเข้าสู่ที่ราบสูงภาคกลางของเวียดนามใต้ เพื่อตีเมืองคอนทูมเป็นการตัดการติดต่อระหว่างภาคเหนือกับภาคใต้ของเวียดนามใต้  เวียดนามเหนือยึดเมืองกวางตรีได้เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม  1972  แล้วเคลื่อนกำลังเข้าคุกคามเมืองเว้
                สหรัฐฯ  ตัดสินใจใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดด้วยการส่งกำลังโจมตีทั้งทางทะเลและทางอากาศ โดยกองทัพเรือที่ 7 ส่งเรือรบ 8 ลำ มีทั้งเรือพิฆาต เรือลาดตระเวน และเรือบรรทุกเครื่องบิน  เข้าปิดล้อมชายฝั่งเวียดนามเหนือ และวางทุ่นระเบิดตลอดแนวอ่าวตังเกี๋ย ส่วนทางอากาศได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 ประมาณ 500 เครื่อง ทั้งจากฐานทัพอากาศ และเรือบรรทุกเครื่องบินโจมตีเมืองกวางตรี เพื่อทำลายและขับไล่ทหารเวียดนามเหนือที่ยึดครองอยู่ พร้อมกับโจมตีทิ้งระเบิดท่าเรือ คลังน้ำมัน และคลังยุทธ สัมภาระบริเวณเมืองไฮฟอง และกรุงฮานอยซึ่งเป็นฐานส่งกำลังบำรุงที่สำคัญ ยิ่งของเวียดนามเหนือ กับทิ้งระเบิดเส้นทางรถไฟสายจีน – เวียดนามเป็นครั้งที่  2
                เวียดนามเหนือได้ประกาศตั้งรัฐบาลเวียดกงขึ้นในเมืองกวางตรีในปลายเดือนพฤษภาคม  อีกครั้งได้พยายามเข้าตีเมืองเว้หลายครั้ง ทำให้พระราชวัง โบราณสถาน ศาสนสถานในพุทธศาสนาและคริสต์ศาสนา และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์  ซึ่งเคยเสียหายอย่างหนักมาแล้วจากการรุกใหญ่ของเวียดนามเหนือ ระหว่างเทศการตรุษญวน ค.ศ.1972 ถูกทำลายลงหมดสิ้น
                ตอนปลายเดือนพฤษภาคม 1972 เวียดนามเหนือได้พยายามเข้ายึดเมืองคอนทูม สหรัฐฯ ได้ใช้จรวจนำวิถีทำลายรถถังของเวียดนามเหนือจนหมดสิ้น  และทิ้งระเบิดกำลังเวียดนามเหนือที่ตั้งล้อมเมืองอยู่สหรัฐฯใช้เครื่องบินทิ้งระเบิดทำลายที่มั่นทางทหาร ในเขตเวียดนามเหนือทุกวัน  เฉลี่ยวันละ 250 เที่ยวบิน
                ในระหว่างห้วงเวลา 31 กรกฎาคม 1972 – 25 ตุลาคม 1972 ได้มีการเจรจาลับระหว่าง 2 ฝ่ายหลายครั้ง และได้แถลงข่าวเมื่อ 25 ตุลาคม 1972 ที่กรุงวอชิงตันว่า การเจรจายุติสงครามเวียดนามใต้บรรลุถึงจุดหมายที่จะได้มีการลงนามระหว่างกันแล้ว และสันติภาพอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่แล้วก็ไม่เป็นผลเวียดนามเหนือเรียกร้องมากเกินไป จนสหรัฐฯ และเวียดนามใต้ไม่สามารถปฏิบัติได้ การเจรจาจึงล้มเหลว สหรัฐฯจึงทิ้งระเบิดเวียดนามเหนือในบริเวณเหนือเส้นขนาดที่ 20 ขึ้นไป กับวางทุ่นระเบิดปิดอ่าวเมืองท่าไฮฟองเพิ่มขึ้น กระทั่ง 21 ธันวาคม 1972 สหรัฐฯ จึงเปลี่ยนนโยบายเป็นยื่นคำขาดให้เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้ยุติการสู้รบกันโดยให้เวียดนามเหนือยอมรับเงื่อนไขตกลงสงบศึก มิฉะนั้นจะทิ้งระเบิดรุนแรงขึ้นกว่าเดิม และให้เวียดนามใต้ยอมเข้าร่วมเจรจรตกลงสงบศึกด้วย มิฉะนั้นสหรัฐฯ จะยุติการช่วยเหลือทั้งหมด แต่เวียดนามเหนือไม่ปฏิบัติตาม สหรัฐฯ จึงดำเนินการทิ้งระเบิดกรุงฮานอย เมืองไฮฟอง และเมืองสำคัญอื่นๆ อย่างรุนแรง เครื่องบินทิ้งระเบิดแบบ B-52 ประมาณ 500 เครื่อง ได้ทำการทิ้งระเบิดเวียดนามเหนือทั้งวันทั้งคืน  เวียดนามเหนือสามารถทำลายเครื่องบินสหรัฐฯได้ถึง 16 เครื่องในที่สุดก็ขอเปิดการเจรจาสันติภาพที่กรุงปารีสอีกครั้ง เมื่อ 8 มกราคม 1972 ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็สามารถลงนามในความตกลง จะสงบศึกอย่างเป็นทางการ เมื่อ 27 มกราคม 1973 มีผลบังคับตั้งแต่ เวลา 09.00 น. ของวันที่ 28 มกราคม 1973 มีสาระสำคัญดังนี้
          1.ให้มีการหยุดยิงทุกแห่งในเวียดนามใต้
          2. ให้ส่งคืนเชลยศึกชาวอเมริกันทั้งหมดภายใน 60 วัน หลังจากลงนาม
          3. สหรัฐฯ จะถอนกำลังทหารที่เหลือในเวียดนามใต้ 24,000 คน ภายใน 60 วัน
          4. สหรัฐฯ ให้คำรับรองว่าประชาชนเวียดนามใต้มีสิทธิที่จะกำหนดอนาคตของตนเอง โดยปราศจากการแทรกแซงจากภายนอก       

Comments

Popular posts from this blog

นักข่าวฝรั่งเศสถูกตำรวจเวียดนามใต้ (วิสามัญ) ฆาตกรรม 15 มี.ค. 2518

นักข่าวฝรั่งเศสถูกตำรวจเวียดนามใต้ (วิสามัญ) ฆาตกรรม 15 มี.ค. 2518 คำสั่งถอนทหารเวียดนามใต้ของประธานาธิบดีเหงียน วัน เถี่ยว ให้ออกจากจังหวัดในที่ราบสูงภาคกลางทั้งหมด ทำให้กระบวนการจัดทัพของเวียดนามใต้เกิดความสับสนอลหม่าน จนมีการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของประธานาธิบดีเถี่ยวอย่างแพร่หลายจากสื่อมวลชนสำนักต่างๆ ดังนั้นประธานาธิบดีเถี่ยว จึงออกมาตรการจัดการสื่อมวลชน(ปากเสีย) ที่ทำให้เขาเสียเครดิตจากการนำเสนอข่าวการถอนทัพออกจากที่ราบสูง ด้วยการสั่งปิดสำนักหนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ และจับก ุมนักข่าว 19 คน รวมถึงการจับตานักข่าวต่างชาติที่ชอบนำเสนอข่าวตรงไปตรงมาและเจาะลึกเป็นพิเศษ หนึ่งในนักข่าวคนนั้นคือ Paul Leandri นักข่าวฝรั่งเศสจากสำนักข่าว AFP วัย 37 ปี ซึ่งได้ทำข่าวการสู้รบบนที่ราบสูง โดยเฉพาะข่าวเมืองเบือนบวนมาถ็วตถูกตีแตก จนมีข้อมูลข่าวลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ NY times ในเวลาต่อมานาย Paul ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจเวียดนามใต้ให้เดินทางไปยังสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เพื่อคุยเรื่องวีซ่าที่ใกล้จะหมดอายุ หลังเสร็จภารกิจ ขณะที่นาย Paul กำลังขึ้นรถเดินทางกลับ ก็ได้ถูกตำรวจยิงเสียชีวิตบนรถเก๋ง...

จอมพล ลนนล หนีออกจากสาธารณรัฐเขมร 1 เม.ย. 2518

จอมพล ลนนล หนีออกจากสาธารณรัฐเขมร 1 เม.ย. 2518 เมื่อเวลา 11.00 น. ของวันอังคารที่ 1 เมษายน 2518 จอมพล ลนนล ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเขมร พร้อมกับภรรยา มาดามฮอง และสมาชิกครอบครัว เดินทางออกจากทำเนียบจมการมอน ในกรุงพนมเปญ เพื่อไปยังท่าอากาศยานนานาชาติโปเชนตง โดยสารเครื่องบินไปยังสาธารณรัฐอินโดนีเซียเพื่อลี้ภัย ก่อนที่ภายหลังจะเดินทางลี้ภัยไปปักหลักถาวรที่สหรัฐอเมริกา โดยไม่เคยกลับมายังแผ่นดินเกิดอีกเลย ปล. คนใส่แว่นข้างหลังมาดามคือนายกรัฐมนตรี ลอง โบเรต ผู้ซึ่งขออยู่ในพนมเปญต่อเพื่อดำเนินการเจรจาสงบศึกกับเขมรแดงจนถึงวันสุดท้าย จนสายเกินไปที่จะหลบหนี ก่อนที่เขาจะถูกเขมรแดงจับประหารชีวิต เรียบเรียงข้อมูลโดยคุณ กิตติบดี คะเณย์